ความคิดที่จะเติมพลังให้กับรถไฟฟ้าที่วิ่งอยู่นั้น
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุคคลทั่วไป ในแทบจะทันทีที่
ทราบถึงข้อจำกัดของระยะทางการวิ่ง
ส่วนใหญ่มักจะพุ่งไปที่ล้อ รองลงมาก็กังหันลม
และสำหรับเหล่ามืออาชีพ ก็จะยกเรื่องการปั่นไฟ
กลับเข้าแบต เมื่อเบรค หรือยกเท้าออกจากคันเร่ง
- Regenerative Braking
ต้องยอมรับว่า มันเป็นจุดขายที่ดีมากๆ
อีกทั้ง เป็นการตอบ/หยุดข้อสงสัยด้วยความหวัง(อันเรืองรอง)
ซึ่งไม่ต่างไปจากสิ่งที่เราเจอกันตามสื่อต่างๆ รอบตัวเรา
ภาพพ่อแม่ลูกอยู่ที่ห้าง รูดบัตรเครดิตซื้อของ
แล้วเหรียญทองกองเต็มตัว ยิ่งซื้อ ยิ่งรวย ยิ่งรูด ยิ่งคุ้ม
สำหรับกรณีนี้ มันคือ รถยิ่งวิ่ง ยิ่งมีพลังงาน!!!!
มันเป็นเรื่องของการตีความล้วนๆ ครับ
คำว่ารวย เราจะหมายถึง อะไรดี...มีเงินเพิ่มในบัญชี
หรือได้เงินคืนมาสองสามบาท จากพัน!!!
สำหรับรถไฟฟ้านั้น ถ้าได้ลองหาอ่านอะไรที่มากกว่า
ข่าวตัด-ปะตามหน้าหนังสือพิมพ์ และนิตยสารต่างๆ
มีคนที่ให้คำตอบเรื่องพวกนี้ไว้อย่างชัดเจนอยู่มากมาย
เช่น มอเตอร์หมุนด้วยความเร็วเป็นพันรอบ/นาที แต่มา
ถึงล้อ - ช่วงที่คนมักจะคิดติดไดนาโมปั่นไฟแถวๆ นั้น
ซึ่งเหลือเพียงไม่กี่ร้อยรอบ/นาที มันพอปั่นไฟได้....
แต่ไม่เข้าแบตเตอรี่แน่นอน -> สร้างระบบเก็บไฟส่วนนี้ไว้ใช้
-> ดำเนินเรื่องติดตั้งเครื่องรูดบัตรเครดิตให้ร้านก๊วยเตี๊ยว
-> เมื่อได้ไฟพอ ต้องมีระบบชาร์จกลับแบตเตอรี่
-> เจรจาธนาคารเจ้าของบัตรให้รับร้านนี้เข้าโครงการณ์
พันนึงได้คืนสามบาท กินปีนึง ทุกวัน....หมื่นนึง ได้ฟรีชามนึง
กังหันลมอันที่พอปั่นไฟใช้ชาร์จได้ ถ้าเอามาติดรถ
มอเตอร์ไซค์ต้องหัวขาดกันเป็นพันๆ ศพ ไม่นับเรื่อง
Drag ของลมที่จะกินไฟมหาศาลในการเคลื่อนตัวรถ
ผมเองก็เพิ่งรู้ว่า Aerodynamics มันไม่ใช่แค่่หน้าแหลมๆ
แหวกลม ลู่ลม การออกแบบด้านท้าย ซุ้มล้อ แผ่นปิดล้อ
ใต้ท้องรถ มีผลอย่างละ 5-10-15 % ได้สบายๆ
มันมีอะไรให้ทำอีกเยอะที่จะยืดระยะทางการวิ่ง
ฟังดูแล้วจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าปั่นไฟขึ้นมาใหม่ แต่ได้ผลดี
เช่น เรื่องของยางที่ใช้
ผมขอไม่พูดถึงกฏของพลังงาน The Conservation of Energy นะครับ เพราะอยากให้ตรงนี้พื้นๆ ที่สุด แต่หาอ่านได้ไม่ยากครับ มันคือ หัวข้อ Hot Hits ของทุกเว็บ EV ครับ
ตอบลบ